หน้าแรก Science 5 สาเหตุทาง ‘วิทยาศาสตร์’ ที่ทำให้คนเห็นผี

5 สาเหตุทาง ‘วิทยาศาสตร์’ ที่ทำให้คนเห็นผี

หลายคนชอบที่จะฟังเรื่องผี แต่แล้วเมื่อได้ฟังก็จะเกิดความกลัวขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อต้องฟังในเวลากลางคืน บางคนอาจหวาดระแวงสิ่งรอบๆ แน่นอนว่ามีคนเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่สำหรับหรับนักวิทยาศาสตร์ กลับบอกว่ายังไม่พบหลักฐานที่ชี้ชัดว่าผีมีจริง และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้คนเห็นผี

5 สาเหตุทางวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้คนเห็นผี

1. ความผิดปกติในการนอน

ประสบการณ์เผชิญหน้ากับวิญญาณที่บอกเล่ากันมาบ่อยครั้งก็คือการถูก “ผีอำ” มองเห็นร่างคนหรือถูกเงาดำกดทับจนขยับไม่ได้ รวมทั้งหูก็ได้ยินเสียงประหลาดต่าง ๆ นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “ความฝันขณะตื่น” (Waking dream) ซึ่งเป็นภาวะเคลิ้มที่สมองตื่นอยู่แต่ร่างกายยังหลับไม่ตอบสนอง มีความเกี่ยวข้องกับอาการตัวแข็งเป็นอัมพาตขณะหลับอีกด้วย

ดร.โจ นิกเคล นักวิจัยอาวุโสของ “คณะกรรมการซีเอสไอ” ซึ่งเป็นหน่วยงานเอกชนที่ส่งเสริมการตรวจสอบปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ บอกว่าภาวะความฝันขณะตื่นทำให้คนมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับความกลัวในจิตใจได้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ตายไปแล้วหรือมนุษย์ต่างดาว ส่วนมากจะเห็นว่ามีภูตผีมายืนข้างเตียง บ้างอาจรู้สึกว่าถูกกดทับหรือถูกบีบคอจนร้องไม่ออก

นั่นคือการที่จิตใจเล่นกลกับตัวคุณเอง โดยทำให้เห็นภาพหลอนที่เหมือนจริง ในชีวิตการทำงาน 50 ปีของผม ไม่เคยพบหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวที่ยืนยันว่าผีมีจริง แต่ตรงกันข้าม ผมกลับพบคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์สำหรับเรื่องผีมากมาย ทั้งสาเหตุที่มาจากการได้ยินเสียงในย่านคลื่นความถี่ต่ำ (อินฟราซาวด์) ความผิดปกติทางอารมณ์หรือสมอง รวมทั้งการอดนอนก็มีส่วนสร้างภาพหลอนได้อย่างมาก” ดร.นิกเคลกล่าว

เวลาที่คุณอดนอนและเหนื่อยล้า ทั้งยังอยู่ในสถานที่ที่บรรยากาศวังเวงน่ากลัว นั่นคือสูตรสำเร็จของการเห็นผีส่วนใหญ่เท่าที่ผมได้เคยตรวจสอบมาเลยทีเดียว

2. ภาวะกลัวผีและสิ่งลึกลับอย่างรุนแรง

ความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจและส่งผลให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงทางกาย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มองเห็นภูตผีได้ โดยนายแบรนดอน อัลวิส ผู้ก่อตั้งสมาคมวิจัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอเมริกัน (APRA) บอกว่าภาวะดังกล่าวสามารถทำให้เกิดอาการแพนิก (Panic Attack) หรือการตื่นตระหนกหวาดกลัวอย่างรุนแรงควบคุมไม่ได้ จนมองเห็นภาพหลอนขึ้นมา

“คนที่มีภาวะนี้จะมีอาการหายใจขัด หรือหายใจหอบถี่เร็ว จังหวะการเต้นของหัวใจไม่แน่นอน เหงื่อตก คลื่นไส้อาเจียน อันเนื่องมาจากความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจ คนที่เชื่อเรื่องผีอยู่แล้ว เมื่อไปอยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัว ก็มักจะมองเห็นสิ่งเคลื่อนไหวแปลก ๆ แวบไปมาที่หางตาอยู่เสมอ” นายอัลวิสกล่าว

3. การขาดออกซิเจน

การขาดออกซิเจนในสมอง (Cerebral anoxia) สามารถทำให้ประสาทสัมผัสและการรับรู้บิดเบี้ยวผิดจากความเป็นจริงออกไปได้ รวมทั้งยังทำให้มองเห็นภาพหลอนได้ง่ายอีกด้วย โดยนายอัลวิสบอกว่าการขาดออกซิเจนในสมองทำให้ผู้ป่วยหนักรู้สึกถึงประสบการณ์แปลก ๆ ขณะใกล้ตาย และมีความรู้สึกว่าวิญญาณล่องลอยออกจากร่างในหลายกรณีด้วย

“คนที่เข้าไปในอาคารเก่า ๆ หรือสถานที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งมีเชื้อราและสารพิษอื่น ๆ อยู่มาก อาจเกิดการขาดออกซิเจนในสมองขึ้นชั่วขณะได้ แต่ละคนอาจมีอาการมากน้อยต่างกันไป แต่ก็สามารถทำให้คนเหล่านั้นเชื่อได้ว่าตนเองมองเห็นภูตผีปีศาจเข้าจริง ๆ”

4. ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษ

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์มีความเกี่ยวข้องกับกรณีบ้านผีสิงหลายแห่งมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1920 แล้ว โดยมีหลักฐานการวิจัยที่ชี้ว่า เมื่อสมองได้รับก๊าซดังกล่าวเข้าไปมากจะทำให้ร่างกายเกิดอาการวิงเวียนคลื่นเหียน หายใจขัด รู้สึกเหนื่อยล้าสับสน รวมทั้งเห็นภาพหลอนหรือหูแว่วได้ยินเสียงหลอนประสาทได้

คาร์บอนมอนอกไซด์ไม่มีสีและกลิ่น ทำให้ยากที่จะตรวจพบได้ หากสูดดมในปริมาณมากอาจทำให้ถึงแก่ชีวิต โดยในแต่ละปีมีชาวอเมริกันกว่า 500 คนต้องเสียชีวิตด้วยเหตุนี้

ผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษ ยังอาจมีอาการป่วยต่อไปหลังจากนั้นนานหลายปีได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง ทั้งด้านความจำ ความคิด และพฤติกรรม บ่อยครั้งที่มีรายงานว่าผู้ป่วยเห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงแว่วต่าง ๆ ทั้งเสียงกระดิ่งและเสียงคนวิ่งไล่กัน รวมทั้งรู้สึกถึงสัมผัสประหลาดคล้ายผีมาแตะต้องตัวอีกด้วย

5. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

ผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมวิจัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอเมริกัน (APRA) ยังบอกว่า การที่เกิดจุดอากาศเย็นผิดปกติ หรือมีผู้สัมผัสถึงพลังงานเคลื่อนไหวประหลาดในบางสถานที่นั้น ความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากการเกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชั่วคราว ซึ่งหลายครั้งก็เป็นผลมาจากฝีมือมนุษย์นั่นเอง

“ภาพหลอนหรือความรู้สึกประหลาดเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งหรืออีกยุคหนึ่ง เกิดขึ้นได้จากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าพลังสูง ที่อาจบังเอิญเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือเกิดจากการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองชั่วขณะ” นายอัลวิสกล่าว

บทความก่อนหน้านี้5 เหตุผลที่ทำให้ ‘ตุ๊กแก’ เป็นสุดยอดกิ้งก่า
บทความถัดไปLena’s Stone Forest ป่าหินที่มีรูปร่างแปลกๆ เป็นเสาเรียงเต็มแม่น้ำ